พุยพุย

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียน ครั้งที่ 3
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560
เนื้อหาที่เรียน
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา

เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
•เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
•มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
  
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
  เด็กเรียนช้า
  - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  - ขาดทักษะในการเรียนรู้
  - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90

เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
   1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
     2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 
•ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
•กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
  - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
  - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
  - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
  4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
•เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome


2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
 เด็กหูตึง
  หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
 
  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ

2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
 
 
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
  - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
  - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB

 
 - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
   - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
   - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
   - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
   - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
 
  4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB 
   - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
   - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
   - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
   - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
   - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
   - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
   - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
   - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
   - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
  - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
   - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
   - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
   - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
  - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
   - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
   - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
   - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา 
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน







การประยุกต์ใช้
สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดในการเป็นครูในอนาคตเพื่อสังเกตด็กของตนเอง

ประเมินตนเอง
ตั้งใจเรียนและมีการโต้ตอบระหว่างอาจารย์

ประเมินเพื่อน
เพื่อๆตั้งใจเรียน

ประเมินอาจารย์
อาจารย์เบียร์สอนดีและตั้งใจสอนและยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น