วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560
เนื้อหาที่เรียน
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เรียกโดยทั่ว
ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ
(Gifted Child)
•เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
•มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า
และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ
71-90
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา
(IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ
ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
•ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
•กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า
C.M.R
(Custodial Mental Retardation
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย
ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ
หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า
T.M.R
(Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย
IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย
ๆ ได้
•เรียกโดยทั่ว
ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยิน
เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจน
มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ
เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-
มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย
เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก
ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่
71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ
บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง
เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10
ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า
5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน
30 องศา
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน
การประยุกต์ใช้
สามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดในการเป็นครูในอนาคตเพื่อสังเกตด็กของตนเอง
ประเมินตนเอง
ตั้งใจเรียนและมีการโต้ตอบระหว่างอาจารย์
ประเมินเพื่อน
เพื่อๆตั้งใจเรียน
ประเมินอาจารย์
อาจารย์เบียร์สอนดีและตั้งใจสอนและยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น